บุรุษผู้มั่งคั่งที่สุดในบาบิโลน (1)

                   กาลครั้งหนึ่งในนครบาบิโลนอันเก่าแก่ มีเศรษฐีผู้ร่ำรวยมหาศาลคนหนึ่ง นามว่าอาร์คัต ความมั่งคั่งของเขาเลื่องลือไปไกล ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็เช่นกัน เขาเป็นคนใจบุญสุนทาน ใจกว้างกับครอบครัว และใช้จ่ายเพื่อตัวเองเต็มที่ แต่ถึงกระนั้น ความมั่งคั่งของเขาก็ยังเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วทุกปีมากกว่าที่เขาใช้จ่ายไป
                      มีสหายในวัยเด็กหลายคนถามเขาว่า "อาร์คัต ท่านโชคดีกว่าพวกเรา ท่านกลายเป็นบุรุษผู้มั่งคั่งที่สุดในบาบิโลน ในขณะที่พวกเรายังต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด ท่านสามารถสวมใส่อาภรณ์ที่ดีที่สุด อิ่มเอมกับอาหารที่หายากที่สุด ในขณะที่เราพอใจแล้วถ้าเราสามารถหาเสื้อผ้าให้ครอบครัวสวมใส่ และเลี้ยงดูพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
                       "แต่กาลก่อนเราเคยทัดเทียมกัน เราศึกษาวิชาความรู้จากอาจารย์คนเดียวกัน เราเล่นอะไรเหมือนๆกัน ท่านไม่เคยเหนือกว่าพวกเราไม่ว่าจะเรื่องเล่นเรื่องเรียน และนับจากนั้นมาท่านก็มิได้เป็นพลเมืองที่ทรงเกียรติมากไปกว่าพวกเราเลย
                       "เท่าที่เราเห็นท่านมิได้ทำงานหนักกว่า หรือซื่อสัตย์มากไปกว่าเราแต่เหตุใดโชคชะตาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ จึงเลือกให้ท่านได้มีสิทธิ์มีความสุขกับสิ่งดีๆ ทั้งหมดของชีวิตเพียงคนเดียว มองข้ามพวกเราที่สมควรจะได้รับเท่าเทียมกัน"
                       อาร์คัตแย้งว่า "หากพวกท่านยังไม่มีอะไรในชีวิตมากไปกว่าสมัยที่พวกเรายังเป็นเด็ก นั่นย่อมเป็นเพราะพวกท่านล้มเหลวในการเรียนรู้กฎแห่งการสร้างความมั่งคั่ง หรือไม่ก็เป็นเพราะพวกท่านไม่ได้สัเกตเห็นมัน
                         "โชคชะตาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ คือเทพธิดาแห่งความชั่วร้าย ที่ไม่เคยนำความดีมาสู่ใครถาวร ตรงกันข้ามนางกลับนำความพินาศมาสู่มนุษย์เกือบทุกคนที่นางโปรยทองคำให้ โดยที่พวกเขาได้มาให้หมดไปในเวลาอันรวดเร็ว แล้วทอดทิ้งให้พวกเขาอยู่กับความทะยานอยากและความปรารถนาที่ตนเองไม่อาจตอบสนอง แต่กับคนที่นางโปรด พวกเขาจะกลายเป็นคนตระหนี่และเก็บออมเงินไว้ไม่กล้าใช้จ่าย เพราะรู้ดีว่าไม่อาจหามาทดแทนได้ พวกเขาหวาดกลัวยิ่งนักว่าจะถูกโจรกรรม จึงใช้ชีวิตอย่างว่างเปล่าจมทุกข์
                          "อาจมีคนอื่นที่สามารถทำให้ทองคำซึ่งมิได้หามาเองนั้นเพิ่มพูนมากขึ้น เป็นพลเมืองที่มีความสุขและพึงพอใจต่อไป แต่คนเหล่านั้นมีเพียงน้อยนิดซึ่งข้าไม่รู้จักพวกเขา เพียงแค่เคยได้ยินมาเท่านั้น พวกท่านลองคิดถึงคนที่ได้รับมรดกมหาศาลอย่างกระทันหัน แล้วดูซิสิ่งเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่"
                          บรรดาสหายของเขายอมรับว่า คนที่ได้รับมรดกจำนวนมากอย่างกะทันหันที่พวกเขารู้จัก เป็นจริงตามที่อาร์คัตพูด พวกเขาขอให้อาร์คัตอธิบายให้ฟังว่า เขากลายเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติมากมายได้อย่างไร อาร์คัตจึงพูดต่อว่า
                          "เมื่อครั้งยังหนุ่ม ข้าเหลียวมองรอบกายและเห็นสิ่งดีๆ ทั้งหมดที่จะนำความสุขและความพึงพอใจมาให้ แล้วข้าก็ตระหนักได้ว่าความมั่งคั่งเป็นตัวเพิ่มพูนอำนาจของสิ่งเหล่านี้
                            "ความมั่งค่งคืออำนาจ ความมั่งคั่งทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเป็นไปได้"
                            "เราอาจตกแต่งบ้านด้วยเครื่องประดับที่แพงที่สุด"
                            "เราอาจได้ลิ้มลองอาหารอันโอชะจากแดนไกล
                            "เราอาจซื้อเครื่องประดับของช่างทองและช่างขัดศิลา
                            "เราอาจสร้างวิหารโอฬารแด่พระเจ้า
                            "เราอาจทำสิ่งเหล่านี้และสิ่งอื่นอีกมากมาย ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกสุขใจทำให้จิตวิญญาณเราอิ่มเอม
                            "เมื่อข้าตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ข้าก็ประกาศกับตัวเองว่าข้าจะเรียกร้องสิทธิ์ของข้าในสิ่งดีๆ ของชีวิตเหล่านี้ ข้าจะไม่ยอมเป็นคนที่ยืนดูผู้อื่นมีความสุขห่างๆ ด้วยความริษยา ข้าจะไม่ยอมพอใจกับการห่อหุ้มตวเองด้วยอาภรณ์ราคาถูกที่ยังดูน่านับถือ ข้าจะไม่ยอมพึงพอใจกับทรัพย์สมบัติของคนยากจน ตรงกันข้าม ข้าจะทำให้ตัวเองเป็นอาคันตุกะของงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยสิ่งดีๆ
                             "ดังที่พวกท่านรู้แล้วว่า ข้าเป็นบุตรชายของพ่อค้าผู้ต่ำต้อยในครอบครัวที่ไม่มีหวังในมรดก และดังที่พวกท่านกล่าวมาแล้วอย่างตรงไปตรงมา ข้าไม่ได้มีอำนาจหรือสติปัญญาเหนือผู้อื่น ข้าจึงตัดสินใจว่าถ้าข้าอยากสำเร็จลุล่วงในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา เวลาและการศึกษาคือสิ่งจำเป็น
                              "ในเรื่องของเวลา มนุษย์ทุกคนล้วนมีมากมาย พวกท่านแต่ละคนได้ปล่อยให้เวลาที่มากพอจะทำให้ท่านมั่งคั่ง ผ่านเลยไปอย่างไร้ประโยชน์ แต่พวกท่านก็ต้องยอมรับว่า พวกท่านไม่มีอะไรจะอวดนอกจากครอบครัวดีๆ ที่ท่านภาคภูมิใจ
                              "ในเรื่องของการศึกษา อาจารย์ผู้ชาญฉลาดของเรามิได้สอนไว้หรอกรึว่าการศึกษามีสองประเภท ประเภทแรกเป็นสิ่งที่เราศึกษาแล้วรู้เลย อีกประเภทเป็นการฝึกที่สอนให้เรารู้วิธีค้นหาสิ่งที่เราไม่รู้
                              "ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงตัดสินใจว่าจะต้องค้นหาวิธีทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อค้นพบแล้ว ข้าก็จะทำตามวิธีนั้นให้ดีที่สุด มันไม่เป็นการฉลาดกว่าหรอกรึ ที่เราจะหาความสุขให้มากๆ ระหว่างที่เรายังอยู่ภายใต้แสงตะวันอันเจิดจ้า เพราะความโศกเศร้าจะวิ่งมาหาเราเทื่อเราจากไปสู่ความมืดมิดของโลก
                               "แต่ครั้งก่อน ข้าได้ทำงานเป็นอาลักษณ์ในหอจดหมายเหตุ ต้องตรากตรำอยู่กับแผ่นจารึกดินเหนียววันละหลายๆ ชั่วโมงทุกวัน  ข้าต้องทำงานหนักสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เดือนแล้วเดือนเล่า แต่รายได้ก็มีเพียงน้อยนิด อาหาร เสื้อผ้า เครื่องบูชาพระเจ้า และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่อาจจดจำได้ ได้ดูดเงินที่ข้าหามาได้ไปจนหมดสิ้น แต่ความตั้งใจแน่วแน่ของข้ายังคงอยู่
                               "แล้ววันหนึ่ง อัลกามิช นายทุนปล่อยกู้ก็มาที่จวนเจ้าเมือง และสั่งคัดสำเนากฎหมายฉบับที่ 9 เขาบอกว่า "ข้าต้องการมันภายในสองวัน ถ้างานเสร็จทันกำหนด ข้าจะให้ทองแดงสองเหรียญแก่เจ้า"  (อ่านต่อฉบับหน้า)

                          

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม