โคมไฟกระดาษกับโคมไฟผ้าแพร

             คนเราเมื่อต้องมาอยู่ร่วมกัน ย่อมเกิดปัญหาเพราะนิสัยและความเคยชินของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เป็นธรรมดาที่ย่อมจะเกิดความขัดแย้งกัน ความคิดเห็นไม่ตรงกัน และในสถานการณ์เช่นนั้นถ้าต่างรู้สึกว่ากำลังถูกหักหน้า ไม่ไว้หน้าหรือเสียศักดิ์ศรีเรื่องก็อาจเลยเถิดไปสู่การโต้เถียงกันด้วยอารมณ์
             การโต้เถียงในเรื่องที่ไม่สมควรนั้น รังแต่จะทำให้บรรยากาศที่ดีระหว่างกันต้องเสียไป โดยเฉพาะต้องมาโกรธกันกันเพียงด้วยเรื่องเล็กน้อย บ่อยครั้งเป็นเพราะความโกรธเพียงวูบเดียวทำให้สูญเสียการควบคุมอารมณ์ ผลก็คือได้ทำเรื่องโง่ๆ ลงไป ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ตัวเองก็ต้องเดือดร้อน ได้ไม่คุ้มเสีย
             ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายอยู่ 3 คนต่างคนต่างมีนิสัยและความชอบที่แตกต่างกันแต่ต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน จึงมักถกเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เสมอๆ
             วันหนึ่ง ก. กลับมาจากทำธุระนอกบ้านเหนื่อยๆ พอเข้าประตูบ้านก็บ่นว่า ในบ้านร้อนอบอ้าว ว่าแล้วก็เปิดประตูหน้าต่างทุกบานออกจนหมด ส่วน ข.อยู่บ้านทั้งวันไม่ได้ออกไปไหนรู้สึกหนาวเย็น จึงต่อว่า ก.ว่าไม่ควรเปิดประตูหน้าต่าง ทั้งสองคนต่างไม่มีใครยอมใคร คนหนึ่งจะเปิด คนหนึ่งจะปิด คนหนึ่งว่าอบอ้าว อีกคนหนึ่งบอกว่าหนาว ด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านี้ทำให้ทั้งสองทะเลาะกันอยู่ครึ่งค่อนวัน พอ ค.กลับเข้ามาได้ฟังข้อขัดแย้งของ ก.และ ข. ก็เข้าใจคว่ามเป็นมาของเรื่องราวและพยายามไกล่เกลี่ย แต่ทว่าทั้ง ก.และ ข.ต่างก็เห็นว่า ค.เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาจึงไม่ยอมรับฟัง ทั้งยืนยันว่าตนเท่านั้นที่เป็นฝ่ายถูก
              อีกครั้งหนึ่ง ข.ไปตลาดและซื้อโคมไฟกระดาษกลับมาหนึ่งดวง พอ ก.เห็นเข้าก็ตำหนิว่าทำไมไม่ซื้อโคมไฟผ้าแพรท้งสวยทั้งดูมีราคา แต่ ข.ไม่เห็นด้วยและบอกว่าโคมไฟกระดาษพอจุดสว่างแล้วก็สวยงามเช่นเดียวกันทั้งราคาก็ถูกกว่าโคมไฟผ้าแพรตั้งเป็นกอง
              ก.แย้งว่าโคมไฟกระดาษราคาถูกก็จริงแต่ไม่ทนทานเหมือนโคมไฟผ้าแพร ข.ก็ว่าซื้อโคมไฟผ้าแพรหนึ่งดวง ซื้อโคมไฟกระดาษได้ตั้งสิบดวง ก.ก็ว่าตนยินดีจะซื้อโคมไฟผ้าแพรหนึ่งดวงดีกว่ามีโคมไฟกระดาษสิบดวง ข.ก็ว่ามีโคมไฟกระดาษสิบดวงสามารถเลือกลวดลายและสีสันได้ตั้งมากมาย....ผลสุดท้าย ค.ต้องมาอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง คอยห้าม ก.ที ห้าม ข.ที แต่ก็ไม่สามารถทำให้ทั้งสองหยุดโต้เถียงกันได้
               เถียงกันไปเถียงกันมาก็เพียงเพื่อเอาชนะ เพียงด้วยเรื่องหน้าตาเถียงกันไปจนถึงที่สุดก็ไม่มีใครได้เปรียบ ตรงข้ามอาจจะมีแต่ความอาฆาตแค้นต่อกันหรือกระทั่งถึงกับลงมือลงไม้กัน ในเมื่อทั้งเปลืองแรงทั้งไม่มีผลดีอะไร แต่ทำไมยังมีคนมากมายที่ยินดีจะทำเช่นนั้นโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย สาเหตุก็คือ รู้สึกทนไม่ได้ที่จะถูกคนเอาเปรียบ ทั้งไม่อยากรู้สึกว่าตนเองต้องตกเป็นเบี้ยล่างของผู้อื่น
               หรือว่าการถูกผู้อื่นเอาเปรียบหรือถูกทำให้เสียหายเล็กน้อย เป็นเรื่องที่หนักหนาถึงเพียงนี้ บางที่ไม่ใช่เพราะเราไม่ยินยอมแต่ในขณะที่เกิดเรื่องนั้นเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เมื่อสะกดกลั้นความโกรธไว้ไม่ได้ แน่นอนย่อมต้องมีการโต้ตอบกลับไป ฝ่ายตรงข้ามเองก็ย่อมไม่ยอมอ่อนข้อและโต้กลับมาบ้าง การโต้เถียงกันไปมาภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครยอมลดราวาศอกเช่นนี้ สุดท้ายก็ต้องบอบช้ำด้วยกันทั้งสองฝ่าย
                ผลของการทำเช่นนี้ ทำให้เราเป็นฝ่ายได้เปรียบจริงหรือ? และเราก็ไม่มีอะไรเสียหายเลยจริงหรือ? ตรงข้าม ไม่เพียงไม่ได้เปรียบอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่กลับได้รับความเสียหายมากมาย
                เคยมีคนกล่าวว่า "สามารถให้อภัยได้ถือว่าไม่เลวแต่ถ้าลืมได้ก็ยิ่งดี"
                เสียเปรียบก็คือได้เปรียบ ถ้าได้เปรียบน้อยหน่อยหรือเสียเปรียบเล็กน้อย สามารถแลกกลับการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของทั้งสองฝ่ายสามารถสลายความขัดแย้งระหว่างกันได้ เช่นนี้เสียเปรียบนิดหน่อยจะนับเป็นอย่างไรได้
                อย่างน้อย ก็ไม่ต้องหงุดหงิดอารมณ์เสียไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องทุกวัน

                                                                                                  หลิวชิ่งเจา

ความคิดเห็น

  1. มาเยี่ยมชมจ้า...ครูบุ้ง

    ตอบลบ
  2. โอ้..ขอบคุณครับที่เจิม ครูบุ้งซัง

    ตอบลบ
  3. คมมากเลยค่ะ ^^

    ตอบลบ
  4. ลดทิฐิ ก็สามารถทำให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่างสบายใจ ถูกต้องเลยค่ะพี่บอย

    ตอบลบ
  5. เยี่ยมครับ
    รู้จักถอย รู้จักให้อภัย จะทำให้สังคมน่าอยู่เยอะ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม